จากสถิติของ UNESCO พบว่ามีเด็ก 284,278 คนที่ออกจากโรงเรียนในพม่า ในปี 2014 – คิดเป็น 5.5% ของประชากรของประเทศ ปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้เกิดการออกจากโรงเรียนกลางคันใน Hlaing Thar Yar คือความต้องการของเยาวชนในการทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย การประเมินผลในปี 2558 ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศแสดงให้เห็นว่าเด็กอายุ 13-15 ปีจำนวนหนึ่งในเมืองทำงานมากกว่าสี่ชั่วโมงต่อวันเพื่อแบ่งเบาภาระของครอบครัวเป็นหลัก
โครงการการศึกษานอกระบบระดับประถมศึกษา (NFEP) จัดตั้งขึ้นที่แม่สอดโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเด็กอายุ 10 ถึง 14 ที่ไม่ได้เข้ารับการศึกษา โครงการจัดตั้งขึ้นเพื่อให้เด็กเหล่านี้มีโอกาสครั้งที่สองโดยการช่วยให้พวกเขาได้เข้าโรงเรียนเพื่อสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐาน เด็กที่ออกจากประเทศเข้ามาอยู่ในแม่สอดทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายคาดหวังว่าจะหางานทำและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระมากขึ้นและข้อ จำกัดที่น้อยลงกว่าประเทศของพวกเขา ปัจจัยหลักที่ทำให้เด็กผู้ต่างด้าวทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยคือสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในแม่สอดกดดันให้พวกเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาอยู่รอดในประเทศใหม่โดยทั้งที่ไม่ความรู้ขั้นพื้นฐานของกฎหมาย สิทธิเด็กและภาษาไทย
มูลนิธิช่วยเหลือไร้พรมแดนที่ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการในประเทศเมียมาร์เพื่อสนับสนุนโครงการ NFEP และ NFME เพื่อส่งเสริมการศึกษาสำหรับเด็กผู้ต่างด้าวในแม่สอด โครงการ NFPE แบ่งออกเป็นสองระดับชั้นคือ ระดับชั้นที่ 1 และระดับชั้นที่ 2 แต่ละระดับชั้นใช้เวลาหนึ่งปีในเรียนให้จบหลักสูตรและ มีนักเรียน406 เรียนอยู่ในระดับชั้นที่1 และนักเรียน 323 คนเรียนอยู่ในระดับชั้นที่ 2 ในการเข้าร่วมโปรแกรมนักเรียน NFME ต้องจบหลักสูตรของ NFPE ทั้ง 1-2 ระดับชั้นก่อน มีเพียงผู้ชาย 11 คนและผู้ชาย 10 คนที่เข้าร่วมโปรแกรม NFME เมื่อเทียบอัตราส่วนจำนวนนักเรียนทั้งสองระดับชั้นใน NFPE กับจำนวนนักเรียนในโปรแกรม NFME นั้นไม่สมดุลกันเลย นอกจากการอยู่ในสภาพที่ยากจน และอีกหนึ่งเหตุผลที่นักเรียนตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วม NFME หลังจากเรียนจบหลักสูตร NFPE แล้วคือใช้เวลาสามปีในการสำเร็จการศึกษาในระดับชั้นนี้ การย้ายเข้าออกของครูยังเป็นปัญหาหลักที่เชื่อมโยงกับการต้องหยุดชะงักของโครงการ NFPE และ NFME เนื่องด้วยว่าครูที่เข้ามาสอนไม่มีเอกสารถูกต้องตามกฎหมาย